วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

เลือกซื้อบ้านหน้าฝน เคล็ดลับที่ถูกมองข้าม



ฤดูิฝนใกล้เข้ามาแล้ว แต่แปลกที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยชอบซื้อบ้านในฤดูฝน อาจเป็นเพราะความไม่สะดวกในการเดินทาง ทำให้หน้าฝนกลายเป็นโลว์ซีซันของการขายบ้านกันไปโดยปริยาย แต่ในความเป็นจริงเราต้องอยู่บ้านในฤดูฝนยาวนานถึง 5-6 เดือน ถ้าบ้านหรือโครงการไม่พร้อมรับมือ ฝนนี่แหละจะสร้างปัญหาในการอยู่อาศัยได้มากที่สุด แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบ้านเราพร้อมรับกับฤดูฝนได้เป็นอย่างดี บททดสอบจากฟ้าฝนจึงเป็นหนึ่งในข้อพิจารณาในการเลือกซื้อบ้านที่ใครหลายๆคนมองข้ามไป

เริ่มจากภายนอกโครงการ เมื่อมีฝนและน้ำท่วมจะทำให้เราได้รับรู้ว่าทำเล ที่เราเลือกจะไปอยู่นั้นสูงต่ำมากน้อยแค่ไหน พอที่จะรับกับสภาพปัญหาน้ำท่วมได้หรือไม่ ฝนตกน้ำท่วมขนาดนี้ดูด้วยตาก็รู้ว่าควรอยู่หรือไม่ควรอยู่อาศัยในทำเลนั้น นอกจากนี้ยังสามารถสำรวจพื้นที่ตั้งโครงการได้ว่า เจ้าของโครงการจัดการกับปัญหาน้ำท่วมมากน้อยขนาดไหน ตั้งแต่เรื่องการถมดินเพื่อพัฒนาโครงการสูงพอหรือไม่ ไปจนถึงการวางระบบระบายน้ำในโครงการดีพอ กับการรับมือเมื่อน้ำท่วมหรือเปล่า

สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้จากฝนที่ตกลงมาต่อคุณภาพของการก่อสร้างบ้านว่ามีคุณภาพดีพอหรือไม่ ไล่กันตั้งแต่หลังคายันฝาบ้าน รวมไปถึงระบบสุขาภิบาลในบ้าน ในช่วงเวลาที่มีฝนตกลงมา หลายโครงการประสบปัญหารั่วซึมให้เห็นกันจะจะ แถมการระบายน้ำภายในบ้านยังไม่ดีพอ รวมไปถึงการเทพื้นที่ไม่ได้มาตรฐานจึงทำให้เห็นน้ำท่วมขังกันบ่อยๆ

ช่วงเวลาที่เหมาะจะสังเกตพฤติกรรมของน้ำฝนก็คือ เวลาที่ฝนตกหนักๆซึ่งจะมีลมพายุพัดแรงทุกทิศทุกทาง ควรจะสังเกตว่าน้ำฝนที่หลังคาไหลไปทิศทางใดบ้าง มีส่วนใดของบ้านเกิดรอยด่างเพราะน้ำฝนหรือไม่ บริเวณที่ควรสำรวจดูร่องรอยน้ำฝน ได้แก่

1. ระหว่างวงกบและผนังปูนจะมีขอบยางกันน้ำรั่วเข้ามาเวลาฝนตกแรงๆ โดยปกติน้ำจะไม่รั่วเข้ามาภายในรอยต่อที่ผนังปูนฉาบกับวงกบประตู

2. หน้าต่าง เมื่อวัสดุต่างชนิดกันมาเชื่อมต่อกัน จึงไม่สามารถทำให้แนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันได้ วัสดุจะมีการยืดหดตัวอยู่เสมอตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเมื่อฝนตกแรงๆ อาจทำให้ฝนเซาะเข้าตามร่องรอยต่อระหว่างวงกบและผนัง อีกทั้งเกิดแรงดูดของอากาศจากภายในห้องในช่วงฝนตก ทำให้น้ำฝนวิ่งเข้าสู่ช่องว่างของรอยต่อได้

3. พื้นเฉลียงและระเบียง หลังฝนตกให้สังเกตดูว่าบริเวณพื้นเฉลียง และระเบียงมีน้ำเจิ่งนองหรือน้ำฝนขังเป็นแอ่งหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าพื้นผิวมีการระบายน้ำไม่ดีพอ

สาเหตุและการแก้ไขรอยรั่วซึมน้ำฝน

1. เกิดจากน้ำฝนไหลย้อนเข้าตามรอยต่อของกระเบื้องมุงหลังคา เนื่องจากกระเบื้องมุงหลังคามีรอยแตกร้าว เพราะมีเศษกิ่งไม้หรือวัสดุปลิวมาถูกหลังคา หรือปูนยาแนวที่รอยต่อสันหลังคาและครอบหลังคาร้าว รางน้ำฝนมีเศษใบไม้และขยะไปอุดตัน ทำให้น้ำฝนไหลออกจากหลังคาไม่ได้ จึงไหลย้อนเข้าไปสู่ฝ้าเพดานภายใน และฝ้าระแนงภายนอกเกิดเป็นรอยด่างน้ำขึ้น

การแก้ไข
ต้องให้ช่างซ่อมหลังคาขึ้นไปตรวจสอบหาสาเหตุ หรืออาจต้องเปิดฝ้าเพดานภายใน เพื่อตรวจหาจุดที่น้ำไหลย้อนสัมพันธ์กับส่วนหลังคาตรงจุดใด เมื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงแล้วก็แก้ไขเสีย เช่น เปลี่ยนกระเบื้องที่แตกร้าว หรือซ่อมปูนยาแนวสันหลังคาและครอบข้าง (ส่วนครอบที่ต่อผนังบ้าน) หรือเก็บกวาดเศษใบไม้ที่ทำให้รางน้ำอุดตัน หลังจากการแก้ไขแล้ว ใ้ห้ทิ้งระยะรอให้ฝนตกรอบใหม่ หรือรอจนสิ้นสุดฤดูฝนเพื่อจะได้ตรวจให้มั่นใจว่าไม่มีรอยรั่วซึมเพิ่มจากรอยเดิม จึงค่อยซ่อมแซมเปลี่ยนฝ้าเพดานและทาสีให้เรียบร้อยเมื่อหมดฝน

2. เกิดจากน้ำซึมเข้ามาจากรอยร้าวที่ผนังตรงรอยต่อของวงกบผนัง ทำให้น้ำไหลซึมไปที่ฝ้าเพดานและรอยร้าวของปูนฉาบ (ถ้ามี)

การแก้ไข
ต้องซ่อมแซมรอยร้าวที่ผนังให้เรียบร้อย อาจใช้ซีแลนต์ยาแนวตามรอยร้าว แล้วทดสอบโดยดูจากที่ฝนตกลงมาแรงๆ แล้วไม่รั่วซึมอีกหรือจนสิ้นสุดฤดูฝนแล้วซ่อมแซม จากนั้นจึงค่อยซ่อมแซมฝ้าเพดาน ควรทำการซ่อมแซมในช่วงฤดูหนาว เพื่อให้ช่างทำงานได้สะดวก

สิ่งเหล่านี้สามารถตรวจสอบและแก้ไขปรับได้ในช่วงฤดูฝน แล้วอย่างนี้ใครจะว่าซื้อบ้านหน้าฝนไม่ดีไม่ได้แล้ว

แสงไฟเพื่อบรรยากาศของบ้านสวย


แสงไฟ…เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการใช้ชีวิตของมนุษย์ เพื่อทดแทนหรือเพิ่มเติมความสว่างจากแสงธรรมชาติ เพื่อให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย หรือเป็นการเพิ่มความสว่างให้กับมุมอันมืดทึบของบ้าน

หากนอกเหนือจากความสำคัญในเรื่องประโยชน์ใช้สอยแล้ว แสงไฟยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการตกแต่ง รูปแบบและดีไซน์ของไฟชนิดต่าง ๆ เป็นรายละเอียดหนึ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กับบ้าน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ แสงไฟสร้างอารมณ์และบรรยากาศที่แตกต่างหันไป สามารถขับรายละเอียดของสถาปัตยกรรมให้โดดเด่น เน้นความสวยงามของของตกแต่งหรือรูปภาพให้เด่นขึ้น การออกแบบแสงไฟจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นสไตล์ และความน่าสนใจของงานตกแต่งเช่นกัน

ลักษณะการใช้แสงไฟในที่อยู่อาศัย
หากจะพูดอย่างง่ายที่สุด แสงไฟในที่อยู่อาศัยจะมีสององค์ประกอบด้วยกัน คือที่มาของแสงโดยตรงอันได้แก่หลอดไฟ และรูปร่างหน้าตาของโคมหรือโป๊ะไฟ ในการเลือกแสงไฟสำหรับบ้าน คุณไม่ควรคำนึงถึงเพียงรูปร่างของมัน แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพและลักษณะของการกระจายแสงด้วย ซึ่งโดยทั่วไปลักษณะการกระจายของแสงจะมีอยู่ 3 ชนิดคือ ุ
- แสงที่ส่องออกมาอย่างสม่ำเสมอในทุกทิศทาง ุ
- แสงที่ส่องออกมาทางด้านใดด้านหนึ่ง และมีความฟุ้งกระจายเล็กน้อย ุ
- แสงที่บีบให้เป็นลำแสง
เราจำเป็นต้องเลือกลักษณะของการส่องสว่าง ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละส่วนของบ้าน ซึ่งเราอาจแบ่งลักษณะของการใช้แสงไฟในบ้านได้เป็น 3 ประเภทคือ

แสงพื้นฐาน (Background Lighting) ุ
แสงชนิดนี้เป็นแสงที่จำเป็นสำหรับการทดแทนแสงธรรมชาติ โดยทั่วไปมักจะเป็นไฟที่ติดบนเพดานหรือโคมไฟห้อยจากเพดาน (Pendant) หรือตัวเลือกอย่างอื่น เช่นไฟกำแพง ไฟที่ส่องขึ้นข้างบน (Uplight) หรือโคมไฟตั้งโต๊ะ ซึ่งทั้งหมดนี้จะให้แสงที่น่าสนใจมากกว่าการใช้แสงไฟสว่าง ๆ ดวงเดียวเหนือหัว ซึ่งจะดูน่าเบื่อและไม่ดึงดูดใจ

แสงไฟสำหรับการทำงาน (Task Light) ุ
ในบริเวณเช่นครัว เคาน์เตอร์ ห้องทำงาน หรือที่ใดก็ตามที่มีการทำงานเฉพาะอย่างเกิดขึ้น ต้องการระดับแสงที่สว่างเป็นพิเศษ ซึ่งควรจะติดตั้งในตำแหน่งที่ไม่ทำให้เงาตกลงบนงานที่กำลังทำอยู่ แสงไฟที่กำหนดทิศทางได้ เช่น ดาวน์ไลท์ โคมไฟสำหรับโต๊ะทำงานที่ปรับมุมได้ หรือสปอตไลท์ เป็นไฟ ที่เหมาะสมสำหรับบริเวณเช่นนี้ หรืออาจใช้ไฟที่สว่างเป็นพิเศษ ซึ่งปกติมักจะใช้ในจุดที่มืดและอาจเป็นอันตรายได้ง่าย เช่น บันได หรือทางเดินภายนอกบ้าน มาใช้ในส่วนทำงานก็ได้

แสงไฟสำหรับเน้นส่วนสำคัญ (Accent Light) ุ
สำหรับการขับเน้นของตกแต่งที่จัดวางเอาไว้ แสงไฟเฉพาะจุด เช่น สปอตไลท์ จะเป็นแบบที่ได้ผลดีเป็นพิเศษ เพราะมันสามารถปรับมุมองศาสำหรับส่องสว่างได้ นอกจากนี้ ก็อาจใช้ไฟลักษณะอื่นก็ได้ เช่น ไฟส่องรูปภาพ (Picture Light) ไฟที่ซ่อนอยู่ในชั้นวางของ หรือโคมไฟตั้งพื้นที่ส่องแสงขึ้นข้างบน Floor-standing Uplight)

ประเภทของหลอดไฟ
หลอดไฟที่ใช้กันในบ้านมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ๆ คือ ทังสเตน (tungsten) ทังสเตน ฮาโลเจน (Tungsten Halogen) และ ฟลูออเรสเซ้นต์ (Fluorescent) ความแตกต่างระหว่างมันขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของมัน อายุการใช้งานโดยเฉลี่ย และที่สำคัญที่สุดก็คือทางด้านสุนทรียภาพ อันเกิดจากสีสันของบรรยากาศโดยรวม ที่ต่างกันไปเมื่อใช้หลอดไฟต่างชนิดกัน
เป็นแสงชนิดที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดสำหรับการใช้งานในบ้าน หลอดไฟชนิดนี้ประกอบด้วยเส้นลวดเล็ก ๆ ซึ่งส่องสว่างอยู่ภายในหลอดไฟ ที่มักเป็นกระจกแก้วใสหรือฝ้า และบรรจุก๊าซสเฉื่อย (Inert Gas - ก๊าซที่จะไม่ประกอบกับวัตถุอื่น เช่น นีออน อาร์กอน ฮีเลียม) ซึ่งมีความเข้มข้นน้อย เมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ

-ทังสเตน จะเป็นแสงที่อบอุ่น ออกโทนสีเหลือง และเหมาะสำหรับการใช้ในงานตกแต่ง เพราะไม่ทำให้สีสันของสิ่งของเปลี่ยนไป และให้ความแตกต่างในด้านโทนที่ดี อย่างไรก็ตาม ทังสเตนมีข้อเสียกว่าหลอดไฟชนิดอื่นก็คือ หลอดไฟมีอายุการใช้งานสั้น และทำให้เกิดความร้อน แต่ก็มีข้อดีตรงที่ราคาไม่แพง และสามารถใช้งานร่วมกับดิมเมอร์ (Dimmer - อุปกรณ์หรี่ไฟ) ได้

-ทังสเตน ฮาโลเจน
หลอดไฟชนิดนี้จะให้แสงที่ดูเย็นขาวกว่าและสว่างกว่าทังสเตน โดยในหลอดไฟจะใส่ก๊าซฮาโลเจน ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางเคมีอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับไอร้อนจากไส้แบบทังสเตน ทังสเตนฮาโลเจนใช้ได้ผลดีมากในการแสดงรายละเอียดของสีสัน ทำให้ดูมีคอนทราสต์ และด้วยความที่ให้ความรู้สึกสดใสและสว่างมาก ทำให้เหมาะจะใช้กับแสงที่ส่องขึ้นข้างบน ไฟสปอตไลท์ และไฟที่เน้นจุดสำคัญ หลอดไฟชนิดนี้สามารถใช้กับดิมเมอร์ได้เช่นกัน

-ฟลูออเรสเซนต์
แสงไฟชนิดนี้จะมีผลต่อสีและโทนเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม มีหลอดฟลูออเรสเซ้นต์สมัยใหม่ที่เลียนแบบแสงธรรมชาติ และมีการใช้ชนิดของแก้วที่ใช้ทำตัวหลอดต่าง ๆ กันไป ทำให้แสงไฟดูนุ่มนวลขึ้น


ไฟเพดาน
ไฟที่ติดตายอยู่เหนือศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟกิ่งไฟช่อ หรือไฟติดเพดาน เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการให้กำเนิดแสง โดยทั่วไปสำหรับบ้าน อย่างไรก็ตามการใช้แสงชนิดนี้เพียงอย่างเดียว ดูจะขาดเสน่ห์ไปสักหน่อย และให้ความรู้สึกอันแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา ควรมีการเพิ่มแสงไฟชนิดอื่น เช่น ดาวน์ไลท์ หรือสปอตไลท์ และติดตั้งดิมเมอร์เพื่อจะได้ปรับสภาพแสงได้ตามต้องการ

ไฟที่ห้อยจากเพดาน (pendant)
รูปแบบของโคมไฟห้อยเพดานนั้นมีแตกต่างกันมากมาย ทั้งราคาและคุณภาพแสง โป๊ะแก้วหรือเซรามิค จะทำให้แสงกระจายออกไปเท่ากันในทุกทิศทาง แต่ถ้ามีโคม (Shades) คลุมไม่ว่าจะเป็นกระดาษ โลหะหรือผ้า จะทำให้แสงส่องลงไปข้างล่างตรง ๆ แชนเดอเลียร์ (Chandeliers) เป็นไฟเพดานที่ให้ความสว่างมากประเภทหนึ่ง เพราะมันรวมเอาหลอดไฟเล็ก ๆ มากมายไว้ด้วยกัน แต่ส่วนมากมักจะมีราคาแพง

ไฟติดเพดาน (Ceiling-mounted Light)
โดยทั่วไปค่อนข้างจะเรียบ และถือเอาประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ ส่วนมากจะไม่มีโคมคลุม แต่อาจมีที่ครอบเป็นแก้วหรือพลาสติกคลุมให้แสงที่ส่องกระจายไปเท่ากันในทุกทิศทาง

ไฟดาวน์ไลท์ (Downlight)
เป็นไฟเพดานที่ทำได้ทั้งแบบทำเป็นช่องเจาะลึกเข้าไปภายใน หรือติดอยู่บนผิวหน้าของเพดาน ให้ประโยชน์ใช้สอยที่ดี และดูมีเสน่ห์กว่าธรรมดา ให้ทิศทางของแสงที่ส่องลงมาข้างล่าง และให้ได้ทั้งลำแสงแคบหรือกว้าง สามารถหันทิศทางให้ส่องไปยังกำแพงหรือพื้นผิวอื่น ๆ ได้ ดาวน์ไลท์มีประโยชน์มาก และเป็นการให้แสงที่น่าสนใจสำหรับส่วนทำงานบางส่วน เช่น เคาน์เตอร์ในครัว หรือจะใช้เป็นไฟแบ็คกราวนด์ที่ดูน่าสนใจได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับสวิทช์ไฟ แบบดิมเมอร์

ไฟเพดานแบบอื่น ๆ
สปอตไลท์สามารถใช้ติดตายบนเพดาน หรือติดบนราง และใช้เป็นไฟแบ็คกราวนด์ หรือส่องสว่างเน้นในจุดสำคัญบางจุดก็ได้ หลอดฟลูออเรสเซ้นต์แบบติดเพดาน เหมาะสำหรับส่วนใช้งานที่ต้องการประโยชน์ใช้สอยเต็มที่ เพื่อตัดแสงสะท้อนเข้าตา อย่าซื้อไฟโดยไม่ทดลองเปิดดูเสียก่อน

สปอตไลท์และไฟติดผนัง
สปอตไลท์
เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถยืดหยุ่นได้มากที่สุดในการให้แสง ไม่เพียงแต่ใช้ในจุดที่ต้องการเน้น หรือสำหรับการทำงานเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้ในการให้แสงสว่างทั่ว ๆ ไปก็ได้ แม้ว่าโดยทั่วไปจะติดที่เพดาน แต่สปอตไลท์ก็สามารถนำมาติดกำแพงได้ด้วย จะใช้ดวงเดี่ยว ๆ หรือเรียงกันเป็นราวก็ได้ มีทั้งสปอตไลท์แบบติดกับขาตั้ง หรือสปอตไลท์พร้อมด้วยขาแบบหนีบ ที่เคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ

สปอตไลท์มีรูปแบบการดีไซน์มากมาย รวมทั้งขนาดด้วย มันให้ได้ตั้งแต่ลำแสงแบบกว้าง จนกระทั่งถึงลำแสงแบบแคบเล็ก และความได้เปรียบอย่างมากของสปอตไลท์ ก็คือง่ายที่จะวางตำแหน่ง และปรับทิศทางของมัน คุณสามารถตั้งองศาทิศทางของแสงไฟ ได้หลายทิศทาง ควรรวมกลุ่มสปอตไลท์ มากกว่าหนึ่งในแต่ละจุด โดยใช้ทำเป็นรางบนกำแพงหรือบนเพดานก็ได้

ไฟผนัง ( Wall Light)
แม้จะเป็นไฟที่ไม่ค่อยเด่นเหมือนดาวน์ไลท์หรือสปอตไลท์ แต่ก็มีให้เลือกหลายแบบเช่นกัน ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ แบบดั้งเดิม มักจะอยู่ในรูปของโป๊ะที่ยื่นออกมาจากผนัง ส่วนแบบสมัยใหม่มีหลายแบบส่วนมากมักจะติดเป็นคู่ การกระจายของแสงขึ้นอยู่กับรูปร่างของโคม และไฟผนังเหมาะที่สุด สำหรับโต๊ะแต่งตัว โดยติดรอบกรอบกระจกแบบห้องแต่งตัวในโรงละคร โดยไม่ต้องมีโคมคลุม เพราะจะให้แสงสว่าง โดยไม่เกิดเงาบนใบหน้า

สวิทช์ไฟ นอกจากสวิทช์สีขาวแบบที่เห็นกันทั่วไปแล้ว ยังมีสวิทช์ไฟที่ออกแบบให้สวยงาม เหมาะสำหรับการตกแต่ง ให้เลือกหาเช่นกัน เช่น สวิทช์ทองเหลือง สวิทช์ไม้ เหล็ก หรือโครเมี่ยม ซึ่งคุณสามารถเลือกให้เข้ากับรูปแบบของการตกแต่งของคุณได้

ดิมเมอร์คอนโทรล

ไม่ว่าจะเป็นไฟชนิดไหนประเภทไหนก็ตาม จะได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้น ถ้าคุณสามารถปรับระดับความเข้มของแสงได้ สวิทช์แบบดิมเมอร์ติดตั้งง่าย และมีประโยชน์มากเป็นพิเศษในห้องที่มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าหนึ่ง (Multi-purpose Room) เช่น ครัวกับห้องอาหาร ที่รวมกันอยู่ ซึ่งต้องการแสงสว่างมากในจุดหนึ่ง และต้องการแสงที่นุ่มนวลกว่าในอีกจุดหนึ่ง

ไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้น
ไฟสองชนิดนี้เป็นทางเลือกที่เป็นที่นิยมกันมาก ทั้งสำหรับในส่วนทำงาน หรือเป็นไฟส่องสว่างทั่วไป และเป็นของแต่งบ้านได้เท่ากับเป็นของที่มีประโยชน์ มีให้เลือกมากแบบทั้งสีสัน รูปทรง ดีไซน์ และขนาด ซึ่งสามารถเลือกให้เหมาะกับการตกแต่งได้ทุกแบบ

โคมไฟตั้งโต๊ะ (Table Lamps)
โคมไฟชนิดนี้ควรมีฐานที่หนักพอสมควร เพื่อจะตั้งได้อย่างมั่นคง และรับน้ำหนักของหลอดไฟและโคมได้ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ ผ้า หรือเปลือกหอย โคมไฟตั้งโต๊ะให้แสงที่นุ่มนวล และกระจาย แสงไฟมักส่องขึ้นข้างบน (แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของโคมด้วย) การวางโคมไฟตั้งโต๊ะไว้หลาย ๆ อันรอบห้อง จะสร้างแสงและเงาที่ให้ผลในการสร้างบรรยากาศอย่างมาก จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ดีของการใช้แสงสำหรับทั่ว ๆ ไป

โคมไฟโต๊ะทำงาน (Desk Lamps)
จุดประสงค์ของมันก็คือการให้แสงสว่าง ตรงไปยังบริเวณที่ต้องการโดยเฉพาะ รูปแบบที่ถือว่าเหมาะที่สุดสำหรับไฟที่โต๊ะทำงาน คือไฟที่ปรับขาตั้งได้ ทำให้ได้ทิศทางของแสงตามที่ต้องการ

โคมไฟตั้งพื้น (Floor Lamps)

โคมไฟแบบลอยตัวสำหรับตั้งพื้นช่วยในการเพิ่มระดับของการส่องสว่างที่สว่างพอสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่านหนังสือ ส่วนมากมักจะใช้ไฟฮาโลเจน เพราะให้แสงที่สว่างกว่า รูปแบบก็มีทั้งแบบโคมไฟที่มีขาตั้งแบบเก่า แบบที่ไฟส่องขึ้นข้างบน แบบที่ปรับมุมได้ หรือบางทีก็ใช้สปอตไลท์ตั้งบนขาตั้ง ไฟตั้งพื้นไม่จำเป็นต้องสูงมาก แต่อาจจะเป็นไฟที่วางไว้บนพื้นในระดับต่ำ ๆ เพื่อส่องสว่างให้กับกลุ่มต้นไม้ที่ใช้ตกแต่งภายใน หรือของตกแต่งที่อยู่บนพื้น หรือเพียงแต่เพิ่มความรู้สึกให้กับแสง

- ตรวจเช็คสายไฟและระบบไฟของคุณทุกห้าปี
- ระบบใดก็ตามที่เก่ากว่า 25 ปี ต้องเปลี่ยนใหม่
- อย่าทำให้เต้าเสียบไฟทำงานเกินกำลัง ด้วยการใช้เสียบปลั๊กหลายอันในคราวเดียว
- รีบเปลี่ยนสายไฟ หรือปลั๊กที่ชำรุด
- ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ห่างจากห้องน้ำ
- ทุกครั้งที่ทำอะไรเกี่ยวกับไฟ ต้องปิดคัทเอาท์เสียก่อนเสมอ
- ดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกก่อนที่จะทำอะไร

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีการจัดบ้านให้อยู่สบายในทุกหน้าร้อน


บทความนี้ขอเสริมจากหลักฮวงจุ้ย และหลักจัดบ้านเพิ่มเติมครับ

1. ให้โครงสร้างบ้านกำหนด ถ้ามีบ้านอยู่แล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากจะทบรื้อซ่อมไปเป็นจุดๆ แต่สำหรับผู้ที่กำลังซื้อหาหรือสร้างบ้านใหม่ ให้คิดถึงบ้านเก่าๆ สมัยบรรพบุรุษของเราสร้างไว้ได้เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราเช่น มีช่องเปิดมากๆ สำหรับรับลมรับแสง แล้วเราค่อยหาต้นไม้ปลูกโดยรอบอีกทีเพื่อกรองแสงกรองฝุ่น หลังคาควรให้สูงแหลมเพราะกระจายความร้อนได้ดี การทำชายคายาวจะช่วยบังแดดและกันฝนสาดได้ดี การทำหน้าต่างเตี้ยจะช่วยให้ลมพัดผ่านได้ดีกว่าหน้าต่างสูง

2. เลือกวัสดุลดความร้อน

พื้น หินอ่อน กระเบื้อง น่าจะเย็นดี แต่ไม่ดีแน่ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าหนาว พื้นไม้ จะให้ความรู้สึกดีกว่า แต่ราคาแพง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ปาร์เกต์ เพราะมีหลายเกรดหลายราคาให้เลือก

ฉนวนกันความร้อน ควรเลือกใช้มากๆ ใช้บุใต้หลังคาเหนือฝ้าเพดาน จะช่วยดักความร้อนที่ทะลุจากหลังคาสู่ภายในบ้านให้เป็นไปได้ยากขึ้น

มวลความร้อนใหญ่ๆ เช่น ผนังคอนกรีต ลานคอนกรีตในสนามและทางเดินในสวน ควรหลีกเลี่ยงการใช้มากที่สุด การปล่อยเป็นพื้นสนามช่วยลดอุณหภูมิพื้นได้ดีกว่ามีคอนกรีตปูนรองรับ

กระจก วัสดุที่ให้ความรู้สึกของห้องที่กว้าง หรูหรา ควรเลือกกระจกโพลทแบบตัดแสง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแสงและความร้อนที่ผ่านกระจก หรอืแบบสะท้อนแสง Reflective Grass ที่ช่วยสะท้อนแสงและความร้อนไม่ให้เข้าภายในอาคาร

3. ชนิดของเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะ

ทั้งขนาดและชนิดของวัสดุ ถ้ามีขนาดใหญ่ สูง หนาและทึบตัน จะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่บางดีไซด์โปร่งเบา วัสดุหนังจะทำให้รู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศเย็น แต่ไม่สบายตัวกับสภาพอากาศร้อน เช่นเดียวเฟอร์นิเจอร์ผ้าที่ให้ความรู้สึกสบายตา ซับเหงื่อได้ดี แต่เหนียวตัวเหนอะหนะถ้าอากาศร้อน ควรเลือกใช้วัสดุธรรมชาติที่ผสมผสานเนื้อผ้าแต่เพียงน้อยจะทำให้รู้สึกสบายตัวมากที่สุด

4. การจัดวางข้าวของให้เป็น

ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ได้ถ้าไม่ใช้ความละเอียด เช่นการวางตู้สูงปิดบังช่องหน้าต่าง จะทำให้ห้องทึบอึดอัดลมไม่ผ่าน ควรจัดข้าวของให้มีน้อยชิ้นให้เป็นระเบียบ ปล่อยพื้นที่ว่างเยอะๆ อากาศจะได้ถ่ายเทได้สะดวก

5. ลองเทคนิคดีๆ ช่วย

- ควรทำแหล่งน้ำให้บ้าน ควรเป็นแหล่งน้ำเล็กๆ ก็สามารถช่วยลดความร้อนได้ แต่ถ้าใหญ่เกิน แล้วไม่มีไม้น้ำปกคลุม ก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมความร้อนแทน

- ติดสปริงเกอร์บนหลังคาบ้าน จะช่วยระบายความร้อนออกไป แต่อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และเปลืองค่าไฟ

- ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อให้ร่มเงา ดูดรับความร้อนแทนบ้านให้ประโยชน์สองทางนอกเหนือจากการสร้างบรรยากาศร่มเย็นในสวน

จัดบ้านรับหน้าร้อนตามหลักฮวงจุ้ย



เมื่อเข้าฤดูร้อนทีไรหลายคนก็มักจะอารมณ์ร้อนตาม เพราะเนื่องจากอากาศที่ร้อนจนทำให้ใจร้อนตามไปด้วย วันนี้ผมจึงนำเคล็ดลับการจัดบ้านต้อนรับหน้าร้อนตามหลักฮวงจุ้ยกันมาฝากกันครับ

ฮวงจุ้ย ช่วยอะไรได้บ้างเวลาต้องเผชิญกับความร้อนอบอ้าว ?
ช่วย ได้แน่นอน ถ้ารู้จักวิธีนำมาใช้ หลักการของฮวงจุ้ยก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน มีความร้อนมาก ก็ให้ใช้ความเย็นแก้ เรียกว่าหลักหยิน-หยาง สร้างความสมดุล ก่อนอื่นต้องรู้ถึงต้น เหตุของความร้อนก่อนว่ามาจากอะไร

แสงแดด

นั่น เป็นปัจจัยแรก หลักฮวงจุ้ยบอกว่า การดูแดดให้ดูทิศทางเดินของดวงอาทิตย์ว่ามาทางทิศใด เรื่องนี้ใครๆก็รู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวัน ตก นี่คือแนวของแสงแดดที่สาดส่องเข้ามากระทบบ้าน ลองสังเกตดูสิว่า ตำแหน่งทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกของบ้านเป็นอะไร ถ้าเป็นช่องประตู หน้าต่าง โอกาสที่บ้านจะรับแสงแดดเข้าสู่บ้านก็มีมาก ซึ่งแน่นอนว่าบ้านนั้นก็ได้รับ ความร้อนมากตามไปด้วย

การแก้ไขเพื่อลดความร้อนของแสงแดด วิธีที่นิยมใช้กันมาก ก็เห็นจะเป็นการปลูกต้นไม้ใหญ่บังแดด กรณีที่บ้านนั้นมีพื้นที่มากพอ การใช้ต้นไม้ใหญ่ถือว่าช่วยได้มาก เพราะ นอกจากจะบังแสงแดดได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในบ้านได้อีกด้วย ถ้าบ้านไหนไม่สามารถปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ อาจใช้วิธีทำกันสาดเพื่อบังแสงแดดเข้าสู่ตัวบ้านได้ วิธีนี้ก็ช่วยลดความร้อนลงไปมากเช่นเดียวกัน

น้ำ

วิธี ลดความร้อนอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ น้ำ เพราะน้ำให้ความรู้สึกที่เย็นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุ น้ำตก ไหน้ำล้น นำมาจัดสวนรอบบ้าน จะช่วยเพิ่มความชื้นให้กับบ้าน หรือนำน้ำ มาแต่งภายในตัวบ้านก็ได้ เช่น ตู้ปลา การได้มองเห็นน้ำ ย่อมผ่อนคลายความร้อนลงได้บ้าง

ต้นไม้

การ จัดสวนถือเป็นการลดความร้อนให้กับบ้านได้มาก เพราะต้นไม้จะให้ความชื้นแก่บ้านได้ การจัดวางต้นไม้จะขึ้นอยู่กับพื้นที่ บ้านที่มีขนาดใหญ่อาจปลูกต้นไม้ใหญ่ ได้ ส่วนบ้านที่มีพื้นที่น้อยอาจปลูกต้นไม้เล็ก หรือใช้แค่กระถางต้นไม้ก็ได้ บ้านที่เทปูนรอบบ้าน ไม่มีการปลูกต้นไม้เลย เวลาหน้าร้อนบ้านจะรับแสงแดดมาก พื้นที่เป็นปูนจะสะสมความร้อนเอาไว้มาก วิธีแก้อาจหากระถางต้นไม้มาวางเรียงรอบบ้าน เพื่อให้ต้นไม้ช่วยลดความร้อนของพื้นปูนลงได้บ้าง อย่างพวกบ้านที่เป็นตึกทั้งหลาย ที่มีดาดฟ้าอย่าปล่อยให้ดาดฟ้ารับแดดอย่างเดียว ควรหาต้นไม้มาวางด้วย

ลม

ก็ เป็นตัวช่วยให้บ้านคลายความร้อนได้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักเปิดทางลมให้เข้าบ้านได้ วิธีสังเกตทางลมก็ให้ดูทิศเหมือนกัน ทิศทางลมสำหรับเมืองไทยในหน้าร้อนจะ มาทางทิศใต้ ชาวบ้านเรียกว่า ลมว่าว

ทิศใต้ของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้าน หลังบ้าน หรือข้างบ้าน จะต้องมีช่องให้ลมพัดเข้าบ้านได้ เช่น ประตู หรือหน้าต่าง ที่สำคัญมีแล้วต้องเปิดเห็นหลายบ้านไม่ค่อย ได้เปิดประตู หน้าต่างสักเท่าไหร่ อ้างว่ากลัวฝุ่นเข้าบ้านบ้าง ขี้เกียจปิดบ้าง บ้านเลยกลายเป็นเตาอบอย่างดี แล้วก็มาบ่นว่าทำไมบ้านร้อนจัง

สรุปก็คือ ช่วงหน้าร้อน ที่นับวันจะร้อนขึ้นทุกปี ช่วยกับจัดบ้านของตัวเองให้เย็น โดยยึดหลัก ลดแสงแดด เพิ่มช่องลม แค่นี้ ก็ช่วยลดค่าไฟลงได้มาก ไม่ต้องเปิดแอร์ เปิด พัดลมกันทั้งวัน ลองทำกันดูนะครับ..



20 ไอเดียแต่งบ้านราคาประหยัด



ในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างทุกวันนี้ ค่าน้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ทำให้ข้าวของอย่างอื่นแพงตามไปด้วย อยากจะหนีความวุ่นวายภายนอกมาพักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่ตามประสาคนรักบ้าน อยู่บ้านก็ต้องอยากแต่งบ้านเป็นธรรมดา เรามีไอเดียในการแต่งบ้านแบบประหยัด ที่จะช่วยทำให้บ้านยังคงเป็นสถานที่พิเศษที่พร้อมจะรองรับคุณในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

1.ประหยัดด้วยไอเดีย เปลี่ยนสีบนผนัง การทาสีผนังบ้านใหม่ นับเป็นวิธีแต่งบ้านที่ง่าย ประหยัด และได้ผลดีที่สุดทางหนึ่ง ลงทุนแค่สีน้ำพลาสติกสีสวยๆ กับแปรงทาสีอีกสักอันราคารวมกันไม่เท่าไหร่ มาจัดการเปลี่ยนผนังเก่าสีหมองในบ้านให้ดูสวยสดใสขึ้น เท่านี้ก็สามารถสร้างบรรยากาศแปลกใหม่ในบ้านได้ ด้วยราคาแบบสบายกระเป๋า

2.เก็บสายไฟในท่อ การเดินสายไฟแบบฝังในผนังดูเรียบร้อยก็จริง แต่จะซ่อมแซมหรือเดินเพิ่มทั้งทีก็ต้องทุบผนัง เสียสตางค์และเสียเวลา ลองเปลี่ยนมาเดินลอยบนผนัง โดยร้อยใส่ท่อเหล็กแล้วอาจทาสีทับให้ดูเรียบร้อย ช่วยประหยัดงบประมาณในการดูแลรักษาและซ่อมแซม

3.ปรับแสงปรับอารมณ์ เปลี่ยนสีของหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วๆไป โดยนำมาหุ้มด้วยปลอกพลาสติกหลากสีราคาเพียงปลอกละ 10 บาทซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป เพียงเท่านี้ก็จะได้หลอดไฟสีสวย ไว้ใช้ตกแต่งและสร้างบรรยากาศของบ้านได้ ในราคาถูกและช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดนีออน

4.เปลี่ยนโครงสร้างบ้านเป็นเฟอร์นิเจอร์ ใช้ประโยชน์จากส่วนโครงสร้างของบ้าน เช่น ช่องว่างระหว่างเสา โดยติดแผ่นไม้ทำเป็นชั้นวางของ ติดประตูบานเลื่อนเพื่อกันฝุ่น หรือติดม่านกั้นแทนบานตู้ เท่ากับว่าเราประหยัดงบประมาณเงินค่าทำเฟอร์นิเจอร์ทั้งด้านหลังและด้านข้าง นอกจากนี้อาจก่อปูนสูงสัก 40 เซนติเมตร หรือติดแผ่นไม้วางเบาะเพื่อทำเป็นม้านั่งก็ได้ ช่วยประหยัดงบประมาณในการทำเฟอร์นิเจอร์ไปได้เยอะ

5.ปรับเปลี่ยนได้ หนึ่งชิ้นหลายหน้าที่ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เปลี่ยนหน้าที่การใช้งานได้อย่างเช่น โซฟาเบด ที่สามารถใช้นั่งหรือปรับเป็นเตียงนอนได้ ราคาต่อชิ้นอาจจะแพงกว่าสักหน่อย แต่ด้วยประโยชน์ที่หลากหลายก็ช่วยให้คุณประหยัดได้กว่าการซื้อเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้น

6.ยืดได้หดได้ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบที่สามารถ ปรับเปลี่ยนขนาด ย่อขยาย ยืดหด วางต่อ หรือซ้อนชั้นกันได้ เพื่อรองรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบตามความต้องการ ช่วยให้คุณประหยัดได้ทั้งงบประมาณและพื้นที่ใช้สอย

7.เคลื่อนที่ได้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่ไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก อย่างโต๊ะที่มีล้อเลื่อน จะช่วยให้เราสลับตำแหน่งและการใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น โต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็ก เลื่อนไปใช้งานในครัวเมื่อต้องทำอาหารมื้อใหญ่ วิธีนี้ช่วยประหยัดไปได้ตั้งครึ่ง

8.แต่งบ้านอย่างมีแผน วางแผนก่อนเพื่อเห็นภาพรวม เหมือนมืออาชีพที่ต้องเขียนแบบแปลน ก่อนจะเริ่มตกแต่งคุณเองควรเขียนแบบแปลนหรือแผนการตกแต่งทั้งหมด เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมและรู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง เช่น ควรทาสีผนังให้เรียบร้อยก่อนเก็บงานที่พื้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจนต้องทำงานซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลต่อสตางค์ในกระเป๋าของคุณอย่างแน่นอน

9.แต่งบ้านทีละระยะ การแต่งบ้านให้เสร็จลุล่วงในคราวเดียวเป็นเรื่องที่ดี แต่อาจทำให้กระเป๋าฉีกได้ ลองแบ่งงานตกแต่งบ้านทั้งหมด(ตามแผนที่คุณวางไว้) ออกเป็นช่วงๆโดยให้ระยะแรกเป็นส่วนที่จำเป็นที่สุดก่อน แล้วดำเนินการทีละขั้นตอน เมื่อระยะแรกจบอาจทิ้งช่วงเก็บสตางค์สักพัก จากนั้นจึงเริ่มช่วงต่อไป กว่าจะเสร็จอาจใช้เวลาสักหน่อย แต่เพื่อไม่ให้คุณต้องรับภาระหนักเกินไป และยังเป็นการให้เวลาตัวคุณสรรหาของที่ถูกใจจริงๆอีกด้วย

10.ซื้อช่วงลดราคาถูกกว่าเยอะ ร้านขายของแต่งบ้านเกือบทุกร้านจะมีช่วงลดกระหน่ำประจำปี โดยเฉพาะร้านใหญ่ๆอย่าง Modernform Index Habitat ซึ่งหากเราอดใจรอซื้อในช่วงลดราคา ก็จะได้ของดีที่ราคาถูกกว่ามาก โดยเฉพาะของชิ้นใหญ่ใช้งบเยอะอย่าง ที่นอน โซฟา เตียง หรือตู้เสื้อผ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆด้วย แต่คุณอาจต้องจดบันทึกสักหน่อยว่าร้านที่คุณไปเล็งๆของไว้นั้น เขาลดราคากันช่วงไหน เดือนไหนของปี บางที่ลดปีละ 2 หน เพื่อปีถัดไปคุณจะได้วางแผนการช็อป(และเตรียมเก็บเงิน)ได้พอดี และต้องตาดีพอจะเลือกของ คนละเวลา คนละสถานที่ แล้วนำมาเข้าชุดกันได้


DIY ทำเองก็ได้ไม่ต้องซื้อ

11. วอลล์เปเปอร์ทำมือ วอลล์เปเปอร์ที่กำลังอินเทรนด์ ช่วยให้ผนังบ้านคุณดูน่าสนใจทีเดียว แต่ราคาก็สูงเช่นกัน แล้วถ้าลองทำเองล่ะ โดยใช้แผ่นแฟ้มพลาสติกฉลุลาย(ลอกจากในหนังสือแต่งบ้านก็ได้)ใช้เป็นแบบ แล้วนำไปพ่นสีสเปย์หรือทาสีที่ต่างจากผนัง ให้สีลอดส่วนที่ฉลุลงไปบนผนังจนเกิดเป็นลวดลายบนผนัง เพียงเท่านี้คุณจะได้วอลล์เปเปอร์ลายสวยไม่ซ้ำใครในราคาสุดประหยัด

12. สวยด้วยผ้า ไปเดินเลือกผ้าลายสวยราคาไม่แพงสักผืนจากพาหุรัด นำมาบวกกับไอเดียและฝีมือเย็บปักถักร้อยของคุณ ก็สามารถใช้ทำของตกแต่งบ้านอย่างง่ายๆในราคาแสนถูก โดยนำมาใช้เย็บเป็นปลอกหมอน หรือทำเป็นเบาะรองนั่ง ช่วยให้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเก่าของคุณให้ดูสวยน่าใช้ยิ่งขึ้น

13. ใช้ผ้าซ่อนความเก่า เก้าอี้นั่งที่ดูเก่าและเชย หรือโซฟาสมัยคุณยายที่ขาดแล้ว หากยังไม่มีสตางค์เอาไปซ่อมหรือซื้อของใหม่ ลองเย็บผ้าคลุมดูไหม โดยเลือกผ้าลายสวยที่ชอบเย็บให้ได้รูปทรง แล้วสวมทับลงไปปิดบังความเก่า และใช้งบน้อยมาก ใครที่นึกวิธีทำไม่ออก เราแนะให้ไปดูหนังสือ Sott Furnishings ของสำนักพิมพ์บ้านและสวน มีไอเดียเกี่ยวกับผ้าและแพตเทิร์นให้ทำตามมากมาย

14. บางอย่างใช้แทนกันได้ สมมุติว่าเป็นไม้ ม่านปรับแสงไม้ขาดแผ่นกว้าง 2 นิ้วกำลังเป็นที่นิยม ช่วยให้บ้านมีอารมณ์สบายแบบรีสอร์ท แต่ราคาค่อนข้างสูง คุณอาจเลือกใช้ม่านปรับแสงที่ทำจากอะลูมิเนียมแทน โดยเลือกขนาดของแผ่นม่านให้เท่ากัน ขึงด้วยแถบผ้าสีเข้มๆ เช่น สีดำหรือสีน้ำตาล ก็จะได้ม่านปรับแสงที่ดูดีแต่ราคาถูกกว่าเยอะ

15. สมมุติว่าเป็นโต๊ะ กล่อง ลัง หรือกระเป๋าเดินทาง แทนที่จะใช้เก็บของแล้ววางซ่อนอยู่มุมห้องเพียงอย่างเดียว เมื่อนำมาวางซ้อนกันยังสามารถใช้ทำเป็นโต๊ะกลาง หรือโต๊ะวางของอย่างง่ายๆ ช่วยประหยัดเหมือนได้เฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม

16. สมมุติว่าเป็นผนัง ถ้าคุณจำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนของห้องเพิ่ม แต่ยังไม่มีสตางค์พอที่จะทำผนังเบา ลองทำราวเพื่อแขวนผ้าม่านขนาดยาวแทน โดยเลือกให้ขนาดของแผ่นผ้าม่านเท่ากัน นอกจากจะราคาถูกกว่าแล้วยังสามารถรูดม่านเก็บได้เมื่อต้องการเปิดพื้นที่โล่ง หรือปรับเปลี่ยนลายผ้าได้ไม่ยากด้วย

17. วงกบสีดำ ดูเหมือนแพง แทนที่ต้องใช้วงกบ UPVC หรือวงกบไม้ที่ราคาสูง วงกบอะลูมิเนียมสีดำก็ดูเท่ ดูดีได้ ราคาก็ถูกกว่ากันเยอะ แถมเข้ากับบ้านได้ทุกสไตล์ เป็นทางเลือกที่สถาปนิกนิยมเลือกใช้ เพราะประตูหน้าต่างแบบเรียบๆ กับกรอบสีเข้ม จะช่วยให้บ้านคุณดูดีขึ้นได้เกินราคา

Mix &Match ประหยัดกว่า

18. เรียบไว้ก่อน เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่เราต้องใช้ไปอีกนาน อย่างโซฟา หรือโต๊ะรับประทานอาหาร ควรเลือกซื้อแบบและสีเรียบๆไว้ก่อน เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่ดูเรียบนั้นเข้ากับอะไรก็ได้ แถมดูไม่น่าเบื่อง่ายหรือล้าสมัย ช่วยให้การซื้อของอื่นๆที่อยู่รายรอบง่ายดายขึ้น และประหยัดงบไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ

19. แต่งแบบไม่ยึดติด การเลือกแต่งบ้านโดยไม่ยึดติดกับสไตล์ใดสไตล์หนึ่ง เช่น การเลือกใช้เก้าอี้คละแบบสำหรับชุดประทานอาหาร บางตัวอาจราคาถูก บางตัวอาจมีราคาสักหน่อย แต่เลือกให้เข้ากันได้ ก็ช่วยประหยัดได้มากกว่าการซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบยกชุด

20. เสียตรงไหนเปลี่ยนตรงนั้น ข้อดีของการแต่งบ้าน Mix&Match อีกข้อหนึ่งก็คือ เมื่อของบางชิ้นชำรุดเสียหาย เราก็สามารถเปลี่ยนหรือซ่อมใหม่ได้เฉพาะตัวที่เสีย ไม่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมทั้งชุด ประหยัดไปได้เยอะ